นีงาตะถูกย้อมด้วยสีทอง! ทริปชมใบไม้เปลี่ยนสีสุดอลังการ


จากสถานี Echigo Yuzawa โดยรถยนต์ประมาณ 30 นาที
1
Dragondola
-
กระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดของญี่ปุ่น เชื่อมที่ราบสูง Naebe กับที่ราบสูง Tashiro ทอดยาวไปถึงยอดเขา
เป็นเส้นทางที่มีความยาวทั้งหมด 5,481 เมตร ความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 425 เมตร ชมวิวอันอลังการทั้งขาขึ้นและขาลง!
การเดินทางใช้เวลาประมาณ 25 นาที (หนเดียว) ซึ่งคุณสามารถชมวิวอันตระการตาของทะเลสาบ Futaiko สีเขียวมรกตเป็นประกาย ภูเขาที่ดูสง่างาม และลำธารอันใสสะอาด
และในฤดูใบไม้ร่วง สามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาที่มีสีสันของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง!
สีสันอันสดใสทั้งสีแดง ส้ม เหลือง งดงามแต่งแต้มดั่งเป็นงานศิลปะ!
ในฤดูหนาว คุณสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของหิมะสีขาวนวล หากมองลงมาจากกระเช้าก็อาจมองเห็นรอยเท้าสัตว์ต่างๆ อีกด้วย เช่น กระต่ายและเลียงผา
กระเช้าลอยฟ้า Naeba Doragondora ยังมีกิจกรรมต่างๆ มากมายให้เลือกเพลิดเพลินได้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูหนาว คุณจะสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆ หลังจากลงจากระเช้าแล้ว!
2
หุบเขาคิโยสึ/อุโมงค์แห่งแสง
-
หุบเขาคิโยสึ (Kiyotsu Gorge) เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสามหุบเขาที่สำคัญของญี่ปุ่น ร่วมกับหุบเขาคุโรเบะและหุบเขาโอซุกิดานิ ด้วยหน้าผาขนาดใหญ่ที่ทอดข้ามแม่น้ำทำให้เกิดช่องเขารูปตัว V ที่นี่จึงได้กำหนดให้เป็นจุดชมวิวระดับชาติและอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติ
ทิวทัศน์ของแนวเสาหินอันงดงามและแม่น้ำคิโยสึที่มีชีวิตชีวานั้นงดงามมาก และสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนอยู่เสมอ นอกจากนี้ ที่งาน Echigo-Tsumari Art Triennale ปี 2018 อุโมงค์ทั้งหมดได้รับการปรับปรุงใหม่เป็นงานศิลปะโดยนักสถาปัตยกรรมชื่อ Ma Yanson จากบริษัทสถาปัตยกรรมจีน MAD Architects
ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณด้านในของอุโมงค์เข้าไปยังหุบเขาและบริเวณหน้าทางเข้ายังสร้างพื้นที่ทางสถาปัตยกรรมและบรรยากาศทางศิลปะภายใต้คอนเซ็ปต์ "องค์ประกอบหลัก 5 ประการ" ของธรรมชาติ ได้แก่ ไม้ ดิน โลหะ ไฟ และน้ำแต่งแต้มสีสันเป็นลวดลายและชิ้นงานต่าง ๆ
ที่บริเวณหน้าทางเข้ามีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ออนเซ็นเท้า ร้านจำหน่ายของที่ระลึก รวมไปถึงมีร้านคาเฟ่อีกด้วย (ปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว)
สำหรับใครที่สนใจ ก่อนออกเดินทางกรุณาตรวจสอบข้อมูลและสถานการณ์ปัจจุบันได้ทั้งในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ และโซเชียลมีเดีย อาทิ X (Twitter) ด้วยนะ
3
ป่าบิจินบายาชิ
-
ป่าบิจินบายาชิ (Bijinbayashi Forest) เป็นป่าที่ปกคลุมไปด้วยต้นบีชที่มีอายุกว่า 100 ปีทั่วเนินเขาบริเวณมัตสึโนยามะ โดยมีพื้นที่ถึง 3 เฮกตาร์ (ประมาณ 18 ไร่) ด้วยลักษณะต้นไม้ที่งดงามทำให้ได้ชื่อว่า "ป่าแห่งความงาม" ย้อนไปในช่วงปลายสมัยไทโช ต้นไม้ทั้งหมดในที่แห่งนี้ถูกตัดทำลายลงเพื่อทำถ่านทำให้กลายเป็นภูเขาที่ว่างเปล่า แต่ในปีถัดมาต้นบีชบนภูเขานี้ก็งอกขึ้นมาและเติบโตทั้งหมดในคราวเดียว ส่งผลให้เกิดรูปลักษณ์ปัจจุบัน อีกทั้ง ที่นี่ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของนกป่าจำนวนมากอีกด้วย
<ป่าบีชอันงดงามที่มีทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล>
ในฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้อ่อนจะแตกหน่อท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมอยู่ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึงแล้ว
ในฤดูร้อน บริเวณนี้ล้อมรอบด้วยแมกไม้เขียวขจี และคุณจะสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านต้นบีช (ว่ากันว่าอุณหภูมิต่ำกว่าพื้นที่โดยรอบ 2°C)
ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีส้มอันแสนงดงามที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในภาพวาด
ในฤดูหนาว คุณจะได้สัมผัสกับคำว่า "โลกสีเงิน" ซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ และในวันที่มีแดด หิมะจะส่องประกายในแสงแดดอีกด้วย
4
Tamaki-ya Sake Inn
-
Matsunoyama Onsen Tamaki-ya Sake Inn เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เชฟคุริยามะจากร้านอาหารฝรั่งเศสมิชลินสองดาว "Lews Restaurant" จะมารังสรรค์อาหารสไตล์ซาโตยามะอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเจ้าของร้านคุณยามากิชิ ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านสาเกและซอมเมลิเยร์ จะมาแพริ่งสาเกและไวน์ท้องถิ่นของนีงาตะให้ลงตัว
คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับออนเซ็นได้โดยตรงจาก Matsunoyama Onsen ซึ่งเป็นหนึ่งในสามออนเซ็นทางการแพทย์ที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น
5
Uonuma no sato
-
ในพื้นที่ลุ่มน้ำ Uonuma ที่เต็มไปด้วยหิมะ ผู้คนต่างชื่นชมทิวทัศน์ของทั้งสี่ฤดูกาล และประเพณีโบราณที่เกิดจากการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติก็ได้รับการสืบทอดมา
"Uonuma no Sato" ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านชนบทบริเวณตีนเขา Hakkaisan เกิดจากความปรารถนาที่จะแบ่งปันชีวิตของ Uonuma และความสงบสุขที่มาจากประเพณีของประเทศที่เต็มไปด้วยหิมะ บริเวณนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่โรงเหล้าสาเก "Hakkaisan'' และเต็มไปด้วยที่เที่ยวผ่อนคลาย เช่น"Hakkaisan Yukimuro'', "Sobaya Nagamori'' และ "ร้านขนม Satoya'' ที่จะมีร้านกาแฟ ร้านค้า และร้านขายของที่ระลึก
"โกดังหิมะ'' ซึ่งสามารถเข้าชมได้โดยการเข้าร่วมทัวร์ ซึ่งที่นี่จะเก็บหิมะได้ประมาณ 1,000 ตันในแต่ละปี ช่วยให้โรงเบียร์สามารถรักษาอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 4°C ทำให้สามารถเก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารได้ตลอดทั้งปี