เดินเที่ยวรอบย่านออนเซ็นและเมืองแห่งน้ำ



ทำไมคุณไม่ลองมาแช่น้ำร้อนสีเขียวมรกตในขณะที่เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่ห้อมล้อมไปด้วยน้ำ เช่น ทะเลและแม่น้ำในเมืองแห่งน้ำนี้ดูล่ะ?
เดิน 15 นาที
1
ชายฝั่งสะสะกะวะนะกะเระ
-
น้ำทะเลสีครามใสตัดกับทรายสีขาวดูงดงาม ชายฝั่งสะสะกะวะนะกะเระเป็นชายฝั่งยาว 11 กม. ในอำเภอมุระคะมิ มีภูมิประเทศหลากหลายที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นทะเลญี่ปุ่น เช่น หินรูปร่างแปลกตา แนวปะการังหรือถ้ำ ทิวทัศน์สุดตระการตานี้ได้รับเลือกให้เป็นจุดมีทัศนียภาพสวยของญี่ปุ่นและอนุสาวรีย์ธรรมชาติ
เรือนำเที่ยวก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการดื่มด่ำทิวทัศน์สวยๆ ของชายฝั่งสะสะกะวะนะกะเระ ไฮไลต์อยู่ที่รูปร่างยิ่งใหญ่ตระการตาของหินแปลกตาต่างๆ อย่างเมกาเนะอิวะ (หินแว่นตา) และเคียวริวอิวะ (หินไดโนเสาร์) เด็กๆ จะได้สนุกสนานไปกับการให้อาหารนกนางนวลในระหว่างล่องเรือประมาณ 40 นาทีด้วย ซึ่งคุณจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับนกนางนวลที่บินเข้ามาใกล้ๆ
เรือนำเที่ยวได้รับความนิยมมาก เราจึงแนะนำให้นั่งช่วงเช้าที่จัดว่าคนน้อย และมีเรือเที่ยวเย็นให้คุณได้ชมวิวยามเย็นที่โรแมนติก แนะนำว่าควรรีบไปต่อแถวหากต้องการที่นั่งมองเห็นวิวชัดๆ
ตราตรึงใจไปกับอาทิตย์อัสดงที่มองเห็นจากอาคารชมตะวันตกดินชายฝั่งสะสะกะวะนะกะเระซึ่งมีร้านอาหารและมุมจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นด้วย อย่าลืมแวะไปชมกันให้ได้ค่ะ
70 นาทีโดยรถไฟจากสถานี JR คุวางาวะ และลงที่สถานีชิบาตะ
เดิน 25 นาที
2
สวนซากปราสาทชิบาตะ
-
สวนกว้างในตัวเมืองที่มี “ปราสาทชิบาตะ” ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยอันดับปราสาทชื่อดังของญี่ปุ่น “ประตูด้านหน้าของปราสาทชิบาตะ” อันเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น “ป้อมปราการที่ตั้งอยู่ตรงมุมของป้อมปราการชั้นนอกเดิม” และคูน้ำยังคงสภาพเดิมในสมัยนั้น ป้อมปราการสามชั้นที่มีชาจิโฮโกะ 3 ตัววางอยู่บนหลังคารูปตัว T เพียงแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่น ที่ตั้งของป้อมปราการสามชั้นไม่ได้อยู่ด้านในเพราะอยู่ในพื้นที่ของกองกำลังป้องกันตนเอง ดังนั้นไม่ควรพลาดชมลักษณะภายนอกอันมีความโดดเด่นนั้นให้ได้ จุดน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือกำแพงนามาโกะ (สถาปัตยกรรมเรขาคณิตของซามูไรสมัยเอโดะ) ที่พบเห็นได้บ่อยๆ ตามปราสาทในเขตอากาศหนาวอย่างประเทศที่มีหิมะตก
ช่วงดอกซากุระบานจะมีตั้งโคมไฟให้เพลิดเพลินกับซากุระในยามราตรีด้วย เชิญเพลิดเพลินใจไปกับการผสมผสานระหว่างซากุระกลางคืนที่สะท้อนบนคูน้ำและปราสาทที่มีไฟประดับ
เป็นสวนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองเพราะสามารถเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งปี โดยในฤดูใบไม้ผลิจะมีซากุระ ฤดูร้อนจะมีดอกบัวที่บานอยู่ในคูน้ำ ฤดูใบไม้ร่วงจะมีใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูหนาวจะมีวิวหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ
10 นาทีโดยรถไฟจากสถานี JR ชิบาตะ และลงที่สถานีสึกิโอกะ
5 นาทีโดยรถบัส
3
สึกิโอะกะออนเซ็น
-
สึกิโอะกะออนเซ็นเป็นออนเซ็นไม่กี่แห่งในญี่ปุ่นที่มีแร่ธาตุกำมะถันสูง น้ำพุร้อนกำมะถันสีมรกตสวยแปลกตาจนได้ฉายาว่า "ออนเซ็นเสริมความงาม" และเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิง มีความอ่อนโยนต่อผิวเพราะมีค่าด่างอ่อนๆ หลังแช่จะรู้สึกว่า “ผิวเต่งตึง” และมีคุณสมบัติช่วยรักษาความชุ่มชื้นอีกด้วย
ขอแนะนำให้มาเดินเล่นช่วงเย็นๆ เพื่อชมเมืองออนเซ็นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกำมะถัน บ้านเมืองมีแสงไฟสว่างไสวและอาจจะได้เดินสวนกับเหล่าเกอิชาในชุดกิโมโนสวยๆ อีกด้วย ควรมาค้าง 1 คืนเพื่อให้ได้ดื่มด่ำกับเมืองออนเซ็นซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแบบญี่ปุ่น มีที่พักหลายรูปแบบตั้งแต่เรียวกังขนาดใหญ่ไปจนถึงที่พักที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักขนาดเล็ก
ในเมืองมีร้านค้าต่างๆ อย่างร้านให้ชิมสุรา ร้านที่จะให้ทำกิจกรรมย่างและตกแต่งเซ็มเบเอง หรือร้านขนมราคาถูกตั้งกันอยู่เรียงรายจนเรียกกันว่าเป็น “เมืองออนเซ็นที่ทำให้อยากจะเดินเล่น” ทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวไม่เหมือนใครอย่าง “เก็งเซ็นโนะโมริ” ให้คุณได้ชิมน้ำพุร้อนซึ่งขนานนามตนเองว่าเป็น “น้ำพุร้อนรสชาติแย่ที่สุดในญี่ปุ่น” นอกจากจะมีบ่อแช่มือที่หาได้ยากในนีงาตะแล้ว ยังมีการให้สร้างความทรงจำโดยแขวนป้ายสำหรับเข้าแช่น้ำพุร้อนที่ได้มาจากออนเซ็นหลายๆ แห่ง หรือจะไปอธิษฐานขอเรื่องความรักโดยราดน้ำลงบนรูปปั้นสำหรับราดน้ำพุร้อนก็ได้ ที่นี่จึงเป็นจุดที่กลุ่มสาวๆ ไม่ควรพลาดมาเที่ยวกันเลยทีเดียว
5 นาทีโดยรถบัส
30 นาทีโดยรถไฟจากสถานี JR สึกิโอกะ และลงที่สถานีโทโยซากะ
10 นาทีโดยรถยนต์
4
ทะเลสาบฟุคุชิมะ
-
สวนธรรมชาติขนาดกว้างใหญ่ที่เป็นหนึ่งใน “ร้อยอันดับธรรมชาติของญี่ปุ่น” ภายในพื้นที่ 193 เฮกตาร์ (1.93 ตารางกิโลเมตร) มีสัตว์และพืชพรรณล้ำค่าอยู่เป็นจำนวนมาก จึงถือว่าเป็นจุดที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ในระดับชั้นแนวหน้าของประเทศ คุณจะได้ชมสัตว์และพืชพรรณนานาชนิดท่ามกลางทัศนียภาพสวยๆ แบบชนบท จนรู้สึกราวกับเป็น “สรวงสวรรค์แห่งนกป่าและพืชพรรณ” อย่างไรอย่างนั้น
ไฮไลต์ของฤดูใบไม้ผลิอยู่ตรงสวนดอกนาโนะฮานะ! สีเหลืองสดใสกับกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงร้องของนกป่าจะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ฤดูร้อนจะได้เพลินตาไปกับดอกบัวสีชมพูดอกใหญ่ แล้วในบรรดานั้นยังมีดอกบัวโอนิ (ยักษ์) พันธุ์หายากที่มีใบใหญ่ขนาด 2 เมตรและมีหนาม ในฤดูหนาวจะได้ชมทะเลสาบน่ามหัศจรรย์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและนกต่างๆ ที่จำศีล เช่น หงส์
อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นในด้านการเป็นแหล่งอพยพของห่านใหญ่ฮิชิกุยอันเป็นอนุสาวรีย์ธรรมชาติ ทั้งยังได้รับการกำหนดให้เป็นแหล่งอพยพของหงส์และพื้นที่เฉพาะตอนเหนือที่มีดอกบัวโอนิขึ้นเองตามธรรมชาติ รวมถึงเป็นเขตคุ้มครองสัตว์ป่าและจุดตกปลาเฮระฟุนะอีกด้วย
ในสถานีน้ำ “วิวฟุคุชิมะงาตะ” มีนิทรรศการสัตว์และพืชพรรณหายาก ร้านค้าในพิพิธภัณฑ์และมุมดื่มชากาแฟ จากจุดชมวิวติดกระจกรอบด้านจะมองเห็นวิวทะเลสาบฟุคุชิมะและที่ราบเอะจิโกะได้แบบพาโนรามา 360 องศา
5
พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมภาคเหนือ
-
อนุรักษ์และเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมอดีตคฤหาสน์ของเจ้าของที่ดินในเอะจิโกะ คฤหาสน์อันหรูหรางดงามจนทำให้คุณแทบจะลืมหายใจนี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 8 ปี ภายในอาณาเขตกว้างใหญ่ถึง 8,800 สึโบะ (0.03 ตารางกิโลเมตร) มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น อาคารหลักสำหรับอยู่อาศัย ห้องจัดเลี้ยง ห้องชงชา และโกดัง รวมถึงสวนแบบจิเซนไคยูชิคิ (สวนที่มีสระน้ำใหญ่อยู่ตรงกลาง) ซึ่งออกแบบโดยนักจัดสวนชื่อดัง แถมยังสามารถชมคอลเลกชันผลงานศิลปะที่รวบรวมโดยเจ้าของบ้านหลายต่อหลายรุ่นได้อีกด้วย
ในสวนกลางมีดอกวิสทีเรียที่แผ่กิ่งก้านสาขามาจากต้นไม้เพียงต้นเดียว ดอกไม้สีม่วงอ่อนจะผลิบานส่งกลิ่นหอมในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมเป็นประจำทุกปี สวนในเดือนพฤศจิกายนจะถูกแต่งแต้มสีสันด้วยใบไม้เปลี่ยนสีราวกับยกภูเขาสวยที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีมาตั้ง ไม่ควรพลาดชมสีสันของสวนแบบจิเซนไคยูชิคิที่มองเห็นจากห้องจัดเลี้ยงขนาด 100 เสื่อ ในช่วงเหมาะกับการชมดอกวิสทีเรียและใบไม้เปลี่ยนสีจะมีการประดับไฟเพื่อสร้างให้เกิดบรรยากาศน่าอัศจรรย์ ที่นี่บรรยากาศดีทั้งสี่ฤดูและมาเพลิดเพลินได้เสมอ เพราะนอกจากดอกวิสทีเรียกับใบไม้เปลี่ยนสีซึ่งเป็นที่นิยมแล้ว ยังมีซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ดอกบัวในฤดูร้อน และหิมะในฤดูหนาวด้วย
ทั้งยังมีร้านต่างๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านจำหน่ายสินค้าของฝาก ร้านกาแฟ ร้านอาหาร (ต้องจอง) หรือที่พัก (ต้องจอง) เป็นต้น จึงอยากเชิญคุณมาค่อยๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์และความงามของนีงาตะ
6
สะพานบันได
-
สะพานบันไดทอดข้าม “แม่น้ำชินาโนะ” อันเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ลักษณะพิเศษอยู่ตรงความแข็งแรงของโครงสร้างหินและสะพานโค้งสวยงามที่ทอดยาวต่อกัน ประดับตกแต่งด้วยหินแกรนิตทำให้มีเสน่ห์และสร้างบรรยากาศงดงาม
สะพานบันไดในปัจจุบันเป็นรุ่นที่สามซึ่งก่อสร้างขึ้นมาแทนที่ในปี 1929 เพื่อรองรับการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของเมืองและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2004 ที่นี่เป็นสะพานที่ทอดข้ามทางหลวงและได้รับเลือกให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญเป็นอันดับ 2 ถัดจากสะพานนิฮงบาชิในโตเกียว สะพานยาว 306.9 เมตร และกว้าง 22.0 เมตร ทั้งยังได้สนับสนุนผู้คนที่รอดพ้นผ่านแผ่นดินไหวในนีงาตะเมื่อปี 1964 ด้วย
มีรถเยอะเพราะเป็นเส้นทางจราจรหลัก แต่มีทางเดินกว้างเตรียมเอาไว้ให้สามารถเดินข้ามได้ด้วย อีกทั้งวิวสะพานบันไดที่มองจากทางเดินเล่นเลียบแม่น้ำชินาโนะก็สุดวิเศษ อย่าพลาดลองมาเดินเล่นสบายๆ พลางชมวิวสะพานบันไดกัน รวมถึงขอแนะนำเรือโดยสารที่จะล่องไปตามแม่น้ำชินาโนะด้วย
7
โทคิเมซเซะ
-
โทคิเมซเซะเป็นศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชินาโนะที่ไหลลงสู่ทะเลญี่ปุ่น
ภาพเงาของตึกที่จินตนาการมาจากเรือนั้นจะสะท้อนอยู่บนผิวน้ำอย่างสวยงามและรังสรรค์ให้เกิดทิวทัศน์เมืองขนาดใหญ่ที่ได้รับการขัดเกลาจนมีความงดงาม
เป็นศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ชั้นนำของประเทศที่มีห้องจัดนิทรรศการแบบมาตรฐาน ห้องประชุมขนาดใหญ่และเล็ก 13 ห้อง รวมถึงโรงแรมเอาไว้อย่างครบถ้วน จึงสามารถจัดงานประชุม งานเลี้ยง และพักค้างแรมได้อย่างราบรื่นภายในอาคารแห่งเดียว
“ห้องชมวิว Befco Bakauke” บนชั้น 31 ของอาคารบันไดจิมะ โทคิเมซเซะนั้นอยู่บนความสูงประมาณ 125 เมตรเหนือพื้นดินซึ่งสูงที่สุดในฝั่งทะเลญี่ปุ่น สามารถชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศาของตัวเมืองนีงาตะ ทะเลญี่ปุ่น เกาะสะโดะ และทิวเขาโกซุได้ฟรี
สามารถรับข้อมูลท่องเที่ยวนีงาตะและแผ่นพับ ฯลฯ ได้จากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ อย่าลืมลองมาใช้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ กันให้ได้ค่ะ